ทำไมคนสิงคโปร์ถึงยังแห่ข้ามไป "ยะโฮร์ บาห์รู" (JB) ทั้งที่ค่าเงินแข็งขึ้น?
บทเรียนการตลาดที่สำคัญผู้ประกอบการและสายเที่ยวทุกคนครับ เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนสิงคโปร์ถึงยังยอมฝ่ารถติดข้ามไปมาเลเซีย (JB) เป็นว่าเล่น ทั้งที่ช่วงนี้ค่าเงินริงกิต (RM) ก็แข็งขึ้นจนทำให้เงินสิงคโปร์ (S$) ซื้อได้น้อยลงแล้วนี่ไม่ใช่แค่เรื่องการท่องเที่ยว แต่คือ บทเรียนการตลาดระดับโลก ที่พิสูจน์ว่า "ความคุ้มค่า" ชนะ "ราคาที่ผันผวน" เสมอ!แกะรอยเหตุผล: ทำไมพวกเขายอมจ่ายเพิ่มแต่ก็ยังไปอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะขยับขึ้นลงนิดหน่อย แต่เมื่อมองภาพรวม ส่วนต่างของราคามัน "มหาศาล" จนทำให้การข้ามแดนยังคงคุ้มค่าอยู่มาก ๆ ครับ เพราะความประหยัดคือชีวิต ดูตัวอย่างเหล่านี้• ของกินของใช้: แม้ว่าริงกิตจะแข็งขึ้น แต่การซื้อของใช้และวัตถุดิบรายสัปดาห์ใน JB ก็ยังถูกกว่าสิงคโปร์มากจนเทียบกันไม่ได้ ส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มเล็กน้อยจากการแลกเงินจึงไม่มีความหมาย• บริการราคาแพง: บริการที่ไม่ใช่สินค้า เช่น การตรวจสุขภาพ (Health Check-ups), คอร์สเรียนพิเศษของลูก (บัลเลต์/เปียโน), หรือแม้แต่ตั๋วหนัง ราคาใน JB ถูกกว่าสิงคโปร์ถึง 3-5 เท่า การจ่ายเพิ่มนิดเดียวเพื่อประหยัดเงินก้อนใหญ่จึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า• ไลฟ์สไตล์และความสุข: บางครั้งคนก็แค่มองหาสถานที่พักผ่อนที่คุ้มค่า "ทำไมจะไม่ไปในที่ที่ราคาสบายกระเป๋ากว่าล่ะ?" พวกเขาคิดแบบนั้น อนาคตที่กำลังจะมา: โอกาสทองของ JB!ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างรถไฟฟ้ารางเบาเชื่อม JB-สิงคโปร์ (RTS Link) ที่จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้ จะทำให้การเดินทางใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีนั่นหมายความว่า:ชาวสิงคโปร์จะมอง JB เป็น "พื้นที่ขยายของเมือง" ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวอีกต่อไป! ธุรกิจบริการ สุขภาพ และร้านอาหาร จะได้รับอานิสงส์เต็ม ๆบทเรียนสำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจนี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากปรากฏการณ์นี้ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม:• อย่ากลัวราคาผันผวน: หากสินค้าหรือบริการของคุณมอบ "มูลค่า" (Value) ที่เหนือกว่าและชัดเจนมากพอ การเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อยจะไม่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจ• ชูจุดแข็งของ "ความคุ้มค่ามหาศาล": พยายามหาจุดที่ธุรกิจของคุณสามารถสร้างความคุ้มค่าที่ลูกค้าหาจากที่อื่นไม่ได้ (เหมือนที่ JB ทำกับค่าเรียนพิเศษ หรือการตรวจสุขภาพ)• ลงทุนในความสะดวกสบาย: การทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการของคุณได้ง่ายขึ้น (เหมือนที่ RTS Link กำลังจะทำ) คือการเพิ่มมูลค่าที่ไม่ใช่ตัวเงินที่ดีที่สุด สรุปแล้วลูกค้าจากสิงคโปรผ์ไม่ได้ซื้อแค่ "ของถูก" แต่พวกเขาซื้อ "ความคุ้มค่าในระยะยาว" และ "ความสุขที่หาได้ง่ายกว่า" นั่นก็คือผู้ประกอบการสามารถนำหลักการ "Value Gap" นี้ไปใช้กับธุรกิจในพื้นที่ได้เลย.
