เขื่อนกันคลื่นยักษ์ อินโดนีเซียประกาศจะขยายโครงการ

เขื่อนกันคลื่นยักษ์ อินโดนีเซียประกาศจะขยายโครงการ



เมื่อไม่นานนี้ อินโดนีเซียประกาศจะขยายโครงการ “เขื่อนกันคลื่นยักษ์” ริมชายฝั่งทางเหนือของเกาะชวา
เป็นโครงการมูลค่ากว่า 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ — ฟังดูยิ่งใหญ่และน่าทึ่ง
รัฐบาลบอกว่า “นี่คือเกราะป้องกันเศรษฐกิจ”
แต่ในสายตาของนักอนุรักษ์… มันอาจเป็น “กำแพงที่เรากำลังสร้างขึ้นระหว่างคนกับธรรมชาติ” ก็ได้

ปัญหาที่แท้จริง…ไม่ได้อยู่ที่คลื่น
จาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย กำลัง “จม” ทีละน้อยในทุก ๆ ปี
ไม่ใช่เพราะคลื่นแรงขึ้นเพียงอย่างเดียว
แต่เพราะคนในเมืองสูบน้ำใต้ดินมากเกินไป จนดินทรุด
พอระดับดินต่ำลง น้ำทะเลก็รุกเข้ามา
ดังนั้น ต่อให้สร้างเขื่อนสูงกี่เมตร
ถ้าไม่จัดการสาเหตุจริง — เมืองก็ยังคงทรุดลงเหมือนเดิม
มันเหมือนเราสร้างร่มยักษ์ไว้กันฝน แต่ไม่ยอมซ่อมหลังคาบ้าน

ธรรมชาติคือ “ทุน” ไม่ใช่ “ศัตรู”
หลายคนมองว่าการอนุรักษ์คือการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
แต่จริง ๆ แล้ว ธรรมชาติคือ “สินทรัพย์” ที่ทำงานให้เราโดยไม่คิดค่าแรง
ป่าชายเลนช่วยกันคลื่น ดูดซับคาร์บอน
แนวปะการังช่วยรักษาความหลากหลายของสัตว์น้ำ
และพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยกรองน้ำเสีย — ทั้งหมดนี้คือ “ระบบป้องกันตามธรรมชาติ”
ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟ
งานวิจัยหลายประเทศยืนยันว่า
ทุก 1 บาท ที่ลงทุนในฟื้นฟูธรรมชาติ
คืนผลประโยชน์กลับมาได้มากกว่า 3–5 บาท
ในรูปของอาหาร การท่องเที่ยว และความปลอดภัยทางสิ่งแวดล้อม

กำแพงเหล็กแข็งแรง…แต่ก็ไม่ยืดหยุ่น
เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่ใช่เศรษฐกิจที่แข็งแรงที่สุด
แต่คือเศรษฐกิจที่ “ปรับตัวได้” เหมือนธรรมชาติ
เขื่อนคอนกรีตอาจดูมั่นคงในระยะสั้น
แต่เมื่อคลื่นแรงขึ้น หรือทะเลเปลี่ยนทิศทาง
มันก็อาจพังครืนลงในพริบตา
ตรงกันข้าม ป่าชายเลนหรือแนวทรายธรรมชาติ
อาจดูอ่อนโยน แต่ปรับตัวได้เสมอ
เพราะธรรมชาติไม่ได้ต่อสู้กับคลื่น
ธรรมชาติ “เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน”

เสียงของคนตัวเล็กริมทะเล
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในโครงการเขื่อนขนาดใหญ่คือ
“เสียงของคนตัวเล็กมักถูกกลบด้วยเสียงของเครื่องจักร”
หลายชุมชนประมงในอินโดนีเซีย
สูญเสียทางออกสู่ทะเล เพราะเขื่อนกั้นคลื่น
ต้องอ้อมเรือไกลกว่าเดิม หรือไม่มีที่จอดเรือเลย
นักอนุรักษ์ที่เข้าใจเศรษฐกิจจึงเสนอว่า
ถ้ารัฐจะสร้างเขื่อน ก็ควรตั้ง “กองทุนชุมชนชายฝั่ง”
เพื่อชดเชย เยียวยา และสร้างอาชีพใหม่ ๆ เช่น
ประมงยั่งยืน หรือการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
เพราะเศรษฐกิจที่ดีจริง ๆ ไม่ใช่แค่ GDP โต
แต่คือ “คนในพื้นที่โตไปด้วย”